รถใหม่ป้ายแดงส่วนใหญ่จะมาพร้อมการรับประกันคุณภาพ (Warranty) 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรือรถบางคันอาจครอบคลุมยาวถึง 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร แต่ถึงอย่างไร เราก็มักใช้รถกันจนหมดประกันอยู่ดี แล้วแบบนี้จะมีจุดใดที่ต้องเช็คเป็นพิเศษบ้างเมื่อรถหมดประกัน?
Carsbycash จึงขอแนะนำ 15 ที่ควรตรวจเช็คเป็นพิเศษเมื่อรถหมดประกัน ไม่ว่าคุณผู้อ่านจะยังคงนำรถเข้าศูนย์หรือเปลี่ยนไปใช้อู่นอกก็ตาม
1.ไฟส่องสว่าง
ควรเช็คไฟส่องสว่างรอบคัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าหรือไฟท้าย หากพบว่ามีหลอดใดหลอดหนึ่งขาดควรรีบเปลี่ยนทันที แต่หากเป็นไฟแบบ LED อาจต้องซื้อทั้งชุดมาเปลี่ยนแทน
2.ยาง
ปกติยางรถยนต์จะสามารถใช้งานได้ราว 50,000 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่ติดว่ายางเสียงดังหรือมีรอยรั่วมา และอาจยืดอายุได้ถึง 70,000 – 100,000 กิโลเมตร ถ้ายังคงมีดอกยางสำหรับรีดน้ำและไม่มีรอยปริของเนื้อยาง อย่างไรก็ดี สำหรับรถที่ใช้งานตามปกติและยังไม่เคยเปลี่ยนยางในช่วง 3 ปี ก็ควรมองหายางใหม่เปลี่ยนได้แล้ว
3.แบตเตอรี่
แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานราว 2 ปี หรือน้อยกว่านั้น ดังนั้น เมื่อพ้นระยะรับประกันก็ควรเช็คสภาพแบตเตอรี่ได้แล้ว ว่ายังมีประสิทธิภาพการเก็บไฟเหมือนเดิมหรือไม่
4.สีตัวถัง
รถที่ไม่เคยถูกชนหนักมา จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องของสนิม แต่สีอาจไม่สดเหมือนสมัยป้ายแดง หากมีเวลาก็ลองเอารถไปขัดเคลือบสีดูบ้าง จะทำให้รถดูใหม่น่าใช้มากขึ้น
5.ระบบเบรก
ระบบเบรกประกอบด้วย 3 ส่วนหลักที่ต้องตรวจเช็ค ได้แก่ ผ้าเบรก, น้ำมันเบรก และจานเบรก ซึ่งล้วนแต่ส่งผลเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง หากเหยียบเบรกแล้วมีเสียงเอี๊ยด นั่นก็แปลว่าถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้ว อย่าปล่อยให้ลามไปกินเนื้อจานเบรก เพราะราคาจานเบรกแพงกว่าผ้าเบรกอีกหลายเท่าตัว
6.ไส้กรองแอร์
ปกติไส้กรองแอร์ควรเปลี่ยนทุก 20,000 กิโลเมตร ดังนั้น เมื่อครบระยะหนึ่งแสนโล ก็ควรจับเปลี่ยนอีกครั้ง เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของคนที่ต้องใช้รถทุกวัน
7.ไส้กรองอากาศ
ไส้กรองอากาศมีผลต่อการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ หากไส้กรองมีสิ่งสกปรกอุดตัน อาจส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มที่ ซึ่งปกติไส้กรองอากาศควรเปลี่ยนทุก 30,000 กิโลเมตร
8.ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนซินและดีเซล มีหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกที่มากับน้ำมัน รวมถึงน้ำที่เจือปนอยู่ โดยปกติจะเปลี่ยนทุก 2 ปีหรือราว 40,000 กิโลเมตร
9.น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ (ถ้ามี)
ถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า จะไม่มีกระปุกน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ จึงตัดการดูแลส่วนนี้ไปได้ แต่รถคันนี้ที่ยังต้องใช้น้ำมันชนิดนี้อยู่ ก็ควรเปลี่ยนเมื่อน้ำมันเสื่อมสภาพ ซึ่งอาจเปลี่ยนที่ระยะ 40,000 หรือ 1 แสนกิโลเมตรแล้วแต่รุ่นรถ
10.หัวเทียน
หัวเทียนควรเปลี่ยนทุกระยะประมาณ 40,000 กิโลเมตร แล้วแต่ชนิดของหัวเทียน หากพบว่าเร่งแล้วมีอาการเครื่องสะดุด เดินไม่เรียบ อาจมีอาการมาจากหัวเทียนก็เป็นได้
11.ลิ้นปีกผีเสื้อ
ลิ้นปีกผีเสื้อควรทำการล้างทุกๆ 100,000 กิโลเมตร เนื่องจากสิ่งสกปรกที่อุดตันอาจทำให้รอบเครื่องไม่นิ่ง เร่งสูงบ้างต่ำบ้าง สามารถหาอู่นอกที่รับทำได้มากมาย
12.น้ำมันเครื่อง
ปกติเราเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกันทุกๆ 10,000 กิโลเมตรบวกลบอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อรถพ้นระยะรับประกัน คุณผู้อ่านก็ยังคงต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำอยู่ดี แต่อาจลองเข้าอู่นอกดูบ้าง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงจากเดิมได้
13.สายพาน
สายพานต่างๆ เช่น สายพานไทม์มิ่ง สายพานหน้าเครื่อง จะมีระยะเวลาการเปลี่ยนอยู่แล้ว หากพ้น 1 แสนโลเป็นต้นไป และยังไม่เคยทำการเปลี่ยน ก็ลองเช็คให้ดีว่าสายพานยังคงตึง ไม่ขาด หากพบว่าสึกหรอก็ควรรีบเปลี่ยนทันที
14.ยางแท่นเครื่อง
ยางแท่นเครื่องเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แต่เป็นสิ่งสำคัญที่เชื่อมต่อเครื่องยนต์และตัวถังรถเข้าไว้ด้วยกัน ยางแท่นเครื่องที่เสื่อมสภาพจะทำให้รถสั่นขณะเร่งเครื่อง มีเสียงรบกวนเข้ามามากกว่าปกติ ตัวถังสั่น หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว
15.ยางขอบประตู
รถที่ใช้ไปนานๆ ยางขอบประตูจะมีการเสื่อมสภาพจนทำให้มีเสียงเล็ดลอดจากภายนอกเข้ามาได้ หากทนไม่ไหวจริงๆให้จับเปลี่ยนยางขอบประตูเหล่านี้ จะช่วยลดเสียงรบกวนลงได้ครับ
จริงๆแล้วนี่เป็นชิ้นส่วนเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีการตรวจเช็คเท่านั้น รถเก่ายังมีชิ้นส่วนอีกมากมายที่รอให้ถึงอายุการใช้งาน ดังนั้น หากรู้สึกว่าเกิดความผิดปกติใดๆ ก็ควรรีบนำรถไปแก้ไขให้เร็วที่สุด ปัญหาจะได้ไม่บานปลายครับ
คิดจะขายรถมือสอง คิดถึง carsbycash
รับซื้อรถมือสอง รถเก่า มือสอง จ่าย ราคาสูง โทร 090 079 6666, 083 676 5555
ถ้าใครต้องการที่จะ ขายรถมือสอง สักคัน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง CARSBYCASH เป็นที่ปรึกศาให้ลูกค้าทุกท่านได้ตลอด… ลองโทรมาให้ทางเราตีราคาก่อนได้นะ
ดู รีวิว carsbycash ลูกค้าที่ขายรถมือสองให้เรา